[Q.3] เลือกกล้องฟิล์ม Rollei 35 รุ่นไหน ให้เหมาะกันเรา
Posted by นายกล้องฟิล์ม กล้องฟิล์มดีดี on
(หากไม่ชอบอ่านอะไรยืดยาว ข้ามไปอ่านบทสรุปด้านล่างได้เลยครับ)
สำหรับ บทความนี้ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือก กล้อง Rollei 35 รุ่นที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า คำแนะนำนี้ เป็นทัศคติส่วนตัวของทางผู้เขียนเอง ไม่ได้เป็น มาตราฐาน หรือ บรรทัดฐานในการเลือกใดๆ เหมาะสำหรับ คนที่ สนใจตัวกล้อง Rollei 35 แล้วยังไม่มีตัวไหนในใจเป็น พิเศษ ลังเล ไม่รู้ว่าควรเลือกตัวไหนดี บทความนี้จะเป็น Guide ให้คุณตัดสินใจและ เลือก กล้องที่เหมาะกับตัวเองได้ง่ายขึ้น หากเข้าใจตรงกันแล้ว ก็เริ่มกันเลย….
โดยปกติแล้ว ผมมักจะแนะนำให้ลูกค้าเลือกจากข้อมูล พื้นฐาน อยู่ 2 อย่าง ได้แก่
- งบประมาณที่ตั้งไว้
- ความถนัดส่วนตัว
1. งบประมาณ ที่ตั้งไว้
แน่นอนครับ ว่างบประมาณ เป็นปัจจัยหลักเลยในการเลือกซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ตาม เงินจะเป็นตัวที่กำหนดว่าเราจะเลือกหรือไม่เลือกสินค้าชิ้นไหน สำหรับ กล้องฟิล์ม Rollei 35 นั้น นับว่ามีกล้องที่มีช่วงราคาค่อนข้างกว้าง หากนับจาก รุ่นประหยัด จนถึงรุ่นมาถึงรุ่นมาตราฐานที่เป็นตัวท้อป นั้น มีช่วงราคาตั้งแต่ 5,000 – 15,000 เลยทีเดียว ช่วงราคาในแต่ละรุ่น เทียบจากราคาในตลาด ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา จะได้ตามนี้
Rollei B35, 35LED ราคาจะอยู่ในช่วง 5,000 – 7,000 ( แล้วแต่รุ่นและสภาพ)
Rollei 35, 35T,35TE ราคาจะอยู่ตั้งแต่ 7,000 – 9,000( แล้วแต่รุ่นและสภาพ)
Rollei 35S, 35SE ราคาจะอยู่ตั้งแต่ 9,000 – 17,000 ( แล้วแต่รุ่นและสภาพ)
จากช่วงราคาจะเห็นได้ว่า จะมีความแตกต่างกันหลักพัน ถือว่ามากพอสมควรเลยทีเดียว
1.1 สำหรับคนที่ มีงบประมาณที่จำกัด
สำหรับคนที่ มีงบประมาณที่จำกัด แต่อยากลองใช้ กล้องฟิล์ม Rollei บ้าง อยากได้คุณภาพรูปที่ขึ้นชื่อว่ามาจากกล้องเยอรมัน
ผมแนะนำให้ลองมองเป็น Rollei B35 หรือ 35LED ครับ ตัวเลนส์ Triotar ของรุ่นนี้ ถือว่าแทบจะเทียบเท่ากล้องตัวเลนส์ Tessar ของรุ่น 35, 35T หรือ 35 TE เลยทีเดียว
ถึงขึ้นชื่อว่า เป็นกล้องที่อยู่กลุ่มของ Eco/Entry Level หรือ กล้องรุ่นประหยัด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ อยู่ในขั้นดีเลยทีเดียว พูดถึงความคม และ คอนทราสของภาพ ผมว่า ยังดีกว่ากล้องญี่ปุ่นอยู่หลายตัวนะครับ ดูจากตัวอย่างนี้ (ข้อมูลจากเวปไซด์ www.flickr.com)
และแน่นอน ว่าคุณจะได้ ความเล็ก กระทัดรัด ที่เห็นจุดเด่นของกล้องฟิล์ม ตระกูล Rollei 35 ด้วย
สิ่งสำคัญที่ผู้ที่กำลังจะเลือกกล้องฟิล์มกลุ่มนี้คือ คุณจะต้องศึกษาการใช้งานให้ละเอียดก่อน เพราะตัวกล้องนั้น มีการลดสเปค เพื่อลดต้นทุน ทำให้ วัสดุหลายอย่าง จะมีความทนทานน้อยกว่า ตัวรุ่นมาตราฐาน แต่หากคุณเข้าใจการทำงาน ศึกษาวิธีใช้งานโดยละเอียดก่อน ไม่ลองผิดลองถูก และ ใช้อย่างถนุถนอน ดูแลมันอย่างดี ก็สบายใจได้ ว่ากล้องตัวนี้จะอยู่กับคุณไปอีกนานครับ
1.2 สำหรับคนที่พอมีงบประมาณ และ ต้องการความคุ้มค่า
สำหรับคนที่พอมีงบประมาณ และ ต้องการความคุ้มค่าในการใช้งาน เทียบกับเงินที่ได้จ่ายไป ผมแนะนำให้ เป็นตัว Rollei 35, 35T หรือ 35TE ครับ
สามรุ่นนี้ในความเห็นของผม ถือว่าเป็น รุ่นที่คุ้มค่าครับ ราคานั้น ถูกว่า รุ่น 35S หรือ 35SE อยู่มากเลยทีเดียว แต่ผลลัพธ์ที่ได้ นั้นไม่ต่างเลย หากคุณรู้วิธีใช้มัน
พูดถึงความคม ทั้งสองฝั่ง ผมมองว่ากินกันไม่ขาดนะ ไม่เห็นความต่างอย่างมีนัย ความกว้างรู้รับแสงของเลนส์ Sonnar ในตัว 35S,SE ถึงแม้ว่า จะเป็น F2.8 ที่ดูแล้วจะกว้างกว่าเมือเทียบกับ F 3.5 ของเลนส์ Tessar ในตัว 35,T,TE ก็จริง
แต่ลองมาวิเคราะห์กันดีๆ คุณจะพบว่า รูรับแสงนั้นมันก็กว้างกว่า ไม่ถึง 1 Stop ด้วยซ้ำ สามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้มากกว่าเพียง ครึ่ง stop กว่าๆ แค่นั้นเอง ผมว่า มันยังไม่ได้เป็นจุดที่จะช่วยเราถ่ายในที่แสงน้อยได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ
ถ้าจะพูดถึงจุดต่างของเลนส์ Tessar กับ Sonnar ผมว่าน่าจะเป็นเรื่อง Coat Lens ที่ดีกว่า ทันสมัยกว่า ในบาง Scene ที่ถ่ายในบางมุม เลนส์ Sonnar จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ในเรื่องของความอิ่มของสี และ Flare หรือ Ghost ที่อาจเกิดขึ้นในภาพ
อย่างกังวลไปครับ เพราะ จุดด้อยของเลนส์ Tessar ที่ผมกล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น จะหมดไปเพียงแค่คุณใช้ Hood และนั้นคือเหตุผลที่ทำมั้ยผมมองว่า Rollei 35, 35T, 35TE นั้นเป็นรุ่นที่คุ้มค่าที่สุด
1.3 สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องงบ
สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องงบ แน่นอนครับผมแนะนำให้เล่นเป็นตัว Top ของตระกลูนี้เลย ได้แก 35S ,35SE ด้วยเลนส์ที่รูรับแสงกว้างกว่า มี Coat Lens ที่ใหม่กว่า ย่อมได้เปรียบกว่าในการใช้งานอยู่แล้ว
สำหรับคนที่ อยากได้ตัวที่ดีที่สุด อยากซื้อแล้วจบ ซื้อครั้งเดียว ไม่ต้องจุกจิก ไม่ต้องซื้อแล้วต้องมานั่งขยับไปรุ่นสูงกว่า หรือ มานั่งคาใจไม่จบ ก็ต้องเป็น สองตัวนี้แหละครับ 35S, 35SE สองรุ่นนี้ตัวจบครับ เพราะอย่างไรก็ตาม ตัว Top ก็ย่อมผ่านการพัฒนา แก้ไขจุดอ่อน ต่างๆ ในรุ่นก่อนหน้ามาเรียบร้อยแล้ว ยังงัยก็ดีกว่าครับ
แต่... จะเป็น S หรือ SE ดีนั้นเดียว มาดูในหัวข้อถัดไป
2. ความถนัดและความชำนาญของแต่ละบุคคล
เนื่องจากกล้อง Rollei 35 ทุกรุ่น (ยกเว้นกลุ่ม Eco) นั้นถูกออกแบบมาบนพืนฐานเดียวกัน การใช้งานนั้นจึ่งไม่แตกต่่างกัน ยกเว้นเรื่อง การวัดแสง
ซึ่งหัวข้อนี้จะเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าจะเลือกว่าเป็นรุ่นที่แสดงผลวัดแสงแบบเข็ม (Rollei 35,T,S ) หรือ แสดงผลวัดแสงแบบไฟ LED (Rollei 35 TE, SE, LED) ผมมาดูกันดีกว่า ว่า แต่ละแบบนั้น เหมาะสำหรับผู้ใช้แบบไหน และคุณจะได้คำตอบว่า แบบไหนที่เหมาะกับคุณ
2.1 รุ่นที่แสดงผลวัดแสงแบบเข็ม (Rollei 35,T,S )
เหมาะสำหรับ คนที่ชอบความคลาสสิค ชอบความเป็น Analog แท้ๆ การแสดงผลแบบเข็ม เป็นระบบการแสดงผล ที่ตรงไปตรงมา ดูง่ายเข้าใจง่าย ส่วนตัวผมเอง ก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบการวัดแสงแบบเข็ม เพราะดูง่ายเข้าใจง่าย สามารถบอกได้ว่าแสงที่วัดได้นั้นพอดี มากไป หรือน้อยไป แค่ไหน โดยดูได้จากตำแหน่งเข็มได้เลย
แต่เนื่องจากตัวเข็มนั้น อยู่ด้านบนของตัวกล้อง แน่นอนว่า เราไม่อาจที่จะวัดแสง และจัดองค์ประกอบได้ ในคราวเดียวกัน ต้องเลือกทำทีละอย่าง ซึ่งปกติจะต้องวัดแสงให้เรียบร้อยก่อน แล้วมาจัดองค์ประกอบทีหลัง
จุดด้อยอีกเรื่องคือ รุ่นที่มีระบบแสดงผลวัดแสงแบบเข็มนั้น จะใช้แบตเตอรี่ PX13,PX625 ลักษณะเป็นถ่านกระดุมอยู่ให้ห้องฟิล์ม เหลือตำแหน่งกลักฟิล์ม
หมายความว่า หากแบตเตอรี่เราเกิดหมด เราต้องเปิดฝาหลัง เอาฟิล์มออกก่อน ถึงทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ ซึ่งค่อยข้างยุ่งยาก ถึงแม้ว่าสถานการณ์แบบนี้ จะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยก็ตาม
แน่นอนครับ ถ้าแบตหมดขณะที่ฟิล์มยังถ่ายไม่หมด เราต้องรอถ่ายจนหมดก่อนถึงจะทำการเปลี่ยนแบตได้ ตอนนั้นอาจจะต้องใช้การวัดแสงแยกเช่น จาก App ในมือถือวัดแสงไปก่อน
2.2 รุ่นที่แสดงผลวัดแสงแบบไฟ LED (Rollei TE,SE, LED )
รุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความทันสมัย ชอบลักษณะการแสดงผลด้วย ไฟ LED ซึ่งถือว่าทันสมัยมากๆ ในยุคนั้น
ลักษณะการแสดงผลนั้น จะเป็น ไฟ LED 3 ดวง แดงด้านบน หมายถึงแสง Over, แดงด้านล่าง หมายถึงแสง Under, เขียวดวงกลางหมายถึงค่าแสงที่พอดี และ หากขึ้นไฟแดงทั้งบนและล่างนั้นหมายความว่า ค่าแสงนั้น ไม่ Overมากเกินไป/ Under น้อยเกินไปจนเกินกว่าจะวัดได้
ซึ่งตำแหน่งของไฟ LED นั้นอยู่ในช่องมองภาพ หมายความว่า เราสามารถจัดองค์ประภาพ พร้อมทำการวัดแสงไปพร้อมๆ กันได้เลยโดยไม่ต้องละสายตาออกจาก View Finder นับว่าสร้างความสะดวก และ คล่องตัวในการถ่ายได้มากทีเดียว
ความพิเศษหรือจุดแข็ง ของกล้องฟิล์มกลุ่มนี้ อีกเรื่องคือเรื่องของช่องใส่แบตเตอรี่ กล้องฟิล์มกลุ่มนี้ จะมีการพัฒนาย้ายช่องใส่แบตเตอรี่ จากด้านในห้องฟิล์ม มาไว้ได้บนของตัวกล้อง ทำให้เวลาต้องการเปลี่ยนแบตเตอรี่ สามารถเปลี่ยนได้ทันที ไม่ต้องเปิดฝาหลัง ไม่ต้องรอให้ถ่ายจน แบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นรุ่น PX27 ลักษณะเป็นก้อน
สรุปสิ่งที่กล่าวมา
ปัจจัยในการเลือกแยกเป็น 2 เรื่อง
1. งบประมาณ
ถ้างบน้อย แนะนำตัว B35, 35 LED ตัวเลนส์คุณภาพดี แทบเทียบเท่าตัวมาตราฐาน แต่ต้องดูแลรักษาให้ดี และใช้งานให้ถูกวิธี เพราะวัสดุตัวกล้องไม่ทนทานเท่าตัวมาตราฐาน
ถ้าพอมีงบบ้าง เลือกตัวมาตราฐาน Rollei 35, 35T, 35 TE เพราะเป็นรุ่นที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว ตัวเลนส์ที่ใช้ เวลาถ่ายมาให้ผลลัพธ์ ไม่ต่างอย่างเห็นได้ชัดเทียบกับตัว 35S, 35SE
ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องงบ จัดได้เลยตัวจบ 35S 35SE ไม่มีผิดหวัง
2. ความถนัด/ความชำนาญในการใช้
แบบเข็ม ใช้งานง่าย ดูง่าย เหมาะกับมือใหม่ แต่ ข้อเสียคือ เวลาจะเปลี่ยนแบต ต้องเปิดฝาหลังก่อน
แบบไฟ LED ถ่ายง่าย คล่องตัวสูง วัดแสงแล้วจัดองค์ประกอบภาพในเวลาเดียวกันได้เลย คล่องตัวกว่า แต่เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐานการถ่ายมาแล้วบ้าง แต่ผลของการวัดแสงไม่ละเอียดเท่าแบบเข็ม ข้อดี เวลาแบตหมดสามารถเปลียนได้เลย โดยไม่ต้องเปิดฝาหลัง