Rollei 35 Made In Germany มีกี่รุ่น?

จนถึงวันนี้เราปฎิเสธไม่ได้ ว่าในโลกของกล้องฟิล์ม ฟอร์แมต 35 มิล Rollei 35 ถือว่าเป็นกล้องฟิล์มขนาด Compact ระดับ Hi-End ที่เล็กที่สุดในโลก และดีที่สุด นับว่าเป็นหลักฐานการการันตี ความสำเร็จของ Rollei ณ ขณะนั้นเลย จนขยายการผลิต เป็นหลากหลายรุ่นมากกมาย ซึ่งในแต่ละรุ่นก็ผลิตกัน หลักแสนตัวเลยทีเดียว เป็นกล้องที่ทั้งมือโปรและมือสมัครเล่นนั้นยอมรับ

ไม่เว้นแต่ พระราชินีอลิซาเบธ ของสหราชอาณาจักรอังกฤษ


อย่างที่ทราบ Rollei 35 นั้น เดิมทีถูกผลิตที่ประเยอรมัน ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องกล้องถ่ายรูป และ เป็นต้นกำเนิดของกล้องระดับตำนานหลายเบรน อาทิเช่น Leica หลังจากนั้นก็มีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศ สิงค์โปร แทนด้วยเหตุผลทางต้นทุนด้านแรงงาน



Rollei 35 Made In Germany จึงเป็น Item หนึ่งที่นักสะสมกล้องฟิล์ม ไขว่คว้าหามาครอบครองเสมอ เนื่องด้วย คุณค่าทางประวัติศาสตร์ และ คุณภาพทางการใช้งานจริง ที่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์งานศิลปะทางภาพถ่ายของ ศิลปินระดับโลกมาแล้ว

 แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า ในช่วงของการผลิต Rollei 35 Made In Germany นี้ มีการเปลี่ยนแปลง ในเรื่องของการออกแบบ เป็น 3 กลุ่ม หรือ 3 เจนเนอเรชั่น หลักๆ ซึ่งเราจะมาเจาะกันแต่ละ Gen ว่ามีตรงไหน แตกต่างกันบ้าง และ ดี หรือ ด้อยกว่ากัน อย่างไร

เริ่มกันที่ประวัติศาสตร์การผลิตคร่าวๆกันก่อน

ในช่วงปีคศ.1966 ทาง Rollei ได้เริ่มผลิตกล้องฟิล์ม Rollei 35 อย่างไม่เป็นทางการมาจำนวนหนึ่ง โดย Serial Number เริ่มที่ตัวเลข ตั้งแต่ 3000201 ถึง 3311000.  ซึ่งในจำนวน ประมาณ 8000 แรก ตัวนี้ใช้ Signature สลักอยู่ด้านหลังของบอดี้ว่า 

"Made in Germany by Rollei – Compur – Gossen – Zeiss"

ที่มาของชื่อนี้มาจาก สุดยอด เจ้าของระบบ ที่มารวมอยู่ในกล้อง Rollei 35

• ม่านชัตเตอร์มาจาก Compur ที่มีอยู่ในกล้องเบรนต้นๆ หลายเบรน
• ระบบวัดแสงมาจาก Gossen 
• เลนส์มาจาก Carl Ziess ชื่อนี้ไม่ต้องพูดถึง เป็นรองอยู่แค่เบรนเดียวคือ Leica

และหลังจากนั้นไม่นานก็มาใช้  Signature อย่างเป็นทางการเป็นเรื่องเป็นราวว่า

"MADE IN GERMANY BY Rollei"


หลังจากนั้น ก็มาเป็น "MADE BY Rollei SINGAPORE" เมื่อย้ายฐานการผลิตไปที่ สิงคโปร์ ในปี ค.ศ. 1971 ซึ่งขอไม่เจาะลึกในบทความนี้

Rollei และ Honeywell มีความสัมพันธ์กันแบบไหน?

ในรุ่น Made In Germany เรามักจะเห็น Logo Honeywell ประทับอยู่ด้านหลังคู่กันไปกับกล้อง หลายคนอาจจะสงสัยว่า Honeywell มีบทบาทอย่างไร กับ Rollei

ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1960 ทาง บริษัท Rollei ได้มีการเซ็นสัญญากับทาง Honeywell ในเรื่องของการจัดจำหน่ายในประเทศ ในช่วงนั้นกล้องทุกตัวถูกจัดจำหน่ายจะมี โลโก้ Honeywell ควบคู่กันไปด้วยเสมอ

แต่ปลายช่วง ค.ศ. 1960 ทาง Rollei ก็ได้มีการจัดตั้งบริษัทจัดจำหน่ายของตัวเองใน Fairfield NJ ชื่อ Rollei of America ซึ่งแน่นอน ว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาทาง Honeywell อีกต่อไป

สรุปแล้ว Made In Germany มีกี่แบบ กี่รุ่น กี่เจนเนอร์เรชั่น ?

เท่าที่รวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ, เวปไซด์, บทความต่างๆ รวมถึง จากนักสะสมตัวยงของ Rollei 35 เราของสรุปเป็น 3 รุ่น จากข้อมูลทางกายภาพของตัวกล้อง เพื่อให้ท่านได้แยกแยะออกระหว่างแต่ละรุ่น โดยจะมีรายละเอียดดังนี้

รุ่นที่ 1 ( The 1st Generation) *บางแหล่งข้อมูลนับเป็น Gen 2 

ล๊อตนี้ถือว่า เป็นจุดกำเนิด ของตำนานเลยก็ว่าได้ เป็นตัวที่ เริ่มผลิตจริงๆ หลังจากที่ตัวต้นแบบ (Prototype) ผ่านการ Prove และแก้ไขจุดบกพร่องมาแล้ว แน่นอน ว่าต้องเป็นรุ่น ที่ทาง Rollei ต้องจัดเต็ม เพื่อผลักดันให้ Project นี้เป็นจริง เฟือง และ กลไก แมคคานิค หลายชิ้น ยังคงเป็น โลหะ เพื่อความทนทาน 

ล๊อตนี้ถูกผลิตในช่วงปี 1966 ถึง มีนาคม 1968 ตัวบอดี้ ทำมาค่อนข้างหน้ากว่า กว่ารุ่นถัดไป นำให้ Gen นี้ มีน้ำหนักมากกว่า เล็กน้อย

จุดสังเกตุจากภายนอกของ Generation นี้สังเกตุได้จาก

1. ตัวอักษร :
ตัว Font คำว่า โลโก้ Rollei  และ คำว่า Made In Germany นั้นยังเป็นแบบ ดั้งเดิม และแตกต่างจาก ตัวล่าสุดที่เราเห็น

สำหรับรุ่นที่สลักข้างหลังว่า  "Made in Germany by Rollei – Compur – Gossen – Zeiss"ทางผู้เขียนนับรวมว่าเป็น Gen 1 เนื่องด้วย ข้อมูลทางกายภาพนั้นเป็นตัวเดียวกัน

2.ชิ้นส่วนบอดี้
ตรงแป้นก้านกรอฟิล์มนั้น จะเป็นโลหะ ซึ่ง รุ่นถัดไปจะเป็น พลาสติก

ซึ่ง จุดนี้ได้กลายเป็นจุดอ่อนนึงไปเลย เพราะ ด้วยอายุที่มาก ของกล้อง หลายคนอาจจะพบปัญหา ชิ้นส่วนนี้ กรอบและ แตก หรือมีรอยร้าวได้

3. น้ำหนัก
อย่างที่บอกไปแล้ว เนื่องด้วย ชิ้นส่วนของGenerationนี้  จะมีส่วนที่เป็นโลหะที่มากกว่า  Gen ถัดไป แล้ว บอดี้ที่หนากว่า ทำให้มีน้ำหนักมากกว่า เป็นปกติ 

Gen 1 น้ำหนักตัวกล้องเพียวๆ ที่ชั่งได้ : 400.2 กรัม

Gen 2 น้ำหนักตัวกล้องเพียวๆ ที่ชั่งได้ : 371 กรัม

Gen 3 น้ำหนักตัวกล้องเพียวๆ ที่ชั่งได้ : 363 กรัม

จะเห็นได้ว่า ตัวแรกจะหนักกว่าพอสมควรเลย 

รุ่นที่ 2 ( The Next Generation)

ล๊อตนี้ เริ่มมีการเปลียนแปลง ไปในทางประหยัดต้นทุนการผลิตแล้วแต่ไม่มาก ตัวบอดี้กล้องมีความบางลงเล็กน้อย น้ำหนักจึงลดลงตามไปบ้าง แต่ถือว่าไม่มาก

ตัวแป้นกรอฟิล์ม (Rewind Crank Base)เปลี่ยนมาเป็นแบบ พลาสติกแล้ว แน่นอนว่ามีผลต่อความทนทานบาง เพราะของเดิมที่เป็นโลหะ อย่างไรก็ต้องทนทานกว่า

ตัวอักษรตรง Rollei และตรง Signature ด้านหลังเริ่มมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างแล้วตามรูป

รุ่นที่ 3 ( The Latest Generation)

รุ่นนี้เป็นรุ่นที่เราจะพบบ่อยกว่าสองรุ่นที่กล่าวมาแล้ว บอดี้เป็นแบบเดียวกับรุ่น 2 ตัว รวมถึง ตัวแป้นกรอฟิล์ม (Rewind Crank Base) ที่เป็นพลาสติกด้วย
สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมาคือ ปุ่มล๊อคฝาหลัง ที่เป็นรูป V Sharp มาพร้อมกับระบบ Anti-Twist Plateตามรูป

 เฟืองกลไกล บางตัวของรุ่นนี้ ถูกปรับเปลี่ยนเป็นแบบพลาสติกเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดอ่อนหนึ่ง ของรุ่นนี้ เมื่อไหร ที่เราฝืนขึ้นไก ในขณะที่เลนส์ ยังอยู่ในเบ้า เฟืองตัวนี้จะพังก่อน ฉะนั้น ถ้าไม่แน่ใจว่า อย่าฝืนขึ้นไก นะครับ 

สรุป 3 รุ่นแล้วถือว่า ถือว่ายังมีความเปลี่ยนแปลงไม่ได้มากนัก ถ้าเป็นรถยนต์ เราจะเรียกว่า รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ก็ว่าได้ ซึ่งเหตุผลของการปรับเปลี่ยน มีทั้งปัจจัยในเรื่องของต้นทุน และ เรื่องของการพัฒนาจุดบกพร่องเดิม ที่เพิ่งจะมาพบในรุ่นก่อนๆ 



พูดถึงในแง่ความทนทาน แน่นอนว่าเราคงปฎิเสธไม่ได้ ว่า รุ่น 1 ทนทานมากกว่าแน่นอน เพราะอะไหล่ หลายตัวยังเป็นโลหะอยู่ ที่ 1 ก็ต้องยกให้รุ่นนี้ รองมาก็จะเป็น รุ่นสอง

พูดถึงรูปลักษณ์ ทั้ง 3 รุ่นหน้าตาแทบไม่เป็นความต่าง ประเด็นนี้เราข้ามไปได้เลย

พูดถึงคุณค่า ทางการสะสมของทั้ง 3 รุ่นนี้แล้ว บอกได้ว่าไม่มีรุ่นไหนมีคุณค่ามากกว่ารุ่นไหน เพราะ ก่อนที่จะมีตัวตนในแต่ละรุ่นนั้น มันมีที่มาที่ไป มีเรื่องราวกำกับอยู่เสมอ

 สุดท้าย

ความตั้งใจของผู้เขียนบทความนี้ ไม่ได้ต้องการจะชี้นำว่า กล้องตัวไหนดีกว่าตัวไหน จุดประสงค์จริงๆ คือเพื่อต้องการให้ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่สนใจในประวัติศาตร์ ความเป็นมาเป็นไป ของกล้องแต่ละ ซี่รีย์ แต่ละ เจนเนอเรชั่น และ ต้องการให้เป็นข้อมูล พื้นฐานสำหรับ ผู้ที่กำลัง มองหากล้องรุ่นนี้ นำไปประกอบการตัดสินใจในการซื้อ ได้ถูกต้อง 

 ในมุมมองของผู้เขียน ผมมองว่า กล้องฟิล์มทุกตัว นั้น เป็นกล้องเก่า เพื่อนๆ บางคนอาจจะได้มาจากตลาดกล้องมือสอง บางคนอาจจะได้มาจาก มรดก ที่ตกทอดจาก รุ่นสู่รุ่น กล้องฟิล์มบางตัว อาจจะเคยเป็นกล้องสุดรักสุดหวง ของเจ้าของเดิม ที่ผ่านเรื่องราวมากมาย ก่อนที่จะตกทอดมาถึงมือเรา

การมองว่ากล้องตัวไหน ดีกว่า ตัวไหน นั่นาจะเป็นเพียงการมอง คุณค่าเพียงแค่การใช้งางนเท่านั่น แต่ในความเป็นจริง คุณค่าของกล้องนั้นมีมากกว่า มิติเดียวเสมอ คุณค่าทางประวัติศาสตร์, คุณค่าของความทรงจำ ตั้งแต่การออกแบบ สร้าง จนถึง มือผู้ได้ใช้งาน นั่นต่างหาก ทีมิอาจจะประเมิน เป็นมูลค่าได้  ไม่สามารถจะนำมาเปรียบเทียบกัน ได้

มันยังทรงคุณค่ากับเจ้าของเดิม ไปถึงเจ้าของใหม่เสมอ กว่าจะถึงมือเรา บางครั้ง มันไม่ใช่แค่ "เรื่องบังเอิญ" 

จงมีความสุขกับการได้มีกล้องที่เรามี และ มีความสุขกับการได้ใช้งานมัน  เพื่อ สร้างความทรงจำใหม่ๆ ให้กับเรา ให้ความสำคัญกับ "คุณค่า" มากกว่า "มูลค่า"  ดูแลมันให้ดีเท่ากับ สิ่งที่เรารัก ทะนุทนอม เพื่อให้มันได้อยู่กับเราไปนานๆ 

//เจริญพร

แหล่งที่มาของข้อมูลและภาพประกอบ
www.oldlens.com| en.wikipedia.org | www.janboettcher.de | blog.livedoor.jp | www.rangefinderforum.com | www.rolleiclub.com | www.photo.net